WFH ให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เคยด้วยรูปแบบการทำงาน Remote Work !

Thanatcha Veeravattanayothin/ May 18, 2020/ Knowledge Base/ 0 comments

WFH ให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เคยด้วยรูปแบบการทำงาน Remote Work !

ภายใต้สถานการณ์ที่คุณต้องทำงานอยู่บ้าน ทั้งในรูปแบบ WFH หรือแบบ Remote Work สำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องมีการปรับตัวกับการทำงานในรูปแบบใหม่ ในสภาพแวดล้อมที่ถึงแม้จะคุ้นเคยกันดี แต่ยังขึ้นชื่อว่าเป็น “ บ้าน ” ซึ่งเป็นสถานที่แห่งการพักผ่อน ทำให้บางครั้ง อาจมีความรู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากทำงานหรือวอกแวกไปทำอย่างอื่น จนทำให้งานไม่เสร็จตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ และบางคนอาจพบปัญหา เมื่อเริ่มทำงานที่บ้านไปสักพัก รู้สึกเหมือนทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาพักผ่อนจนเกิดเป็นความเครียด ไม่ได้รู้สึกว่าบ้านเป็นสถานที่พักผ่อนอีกต่อไป 

แล้วอย่างนี้ควรปรับตัวอย่างไร ให้การทำงานแบบ Work From Home ดีขึ้น ? OpenLandscape ขอแนะนำทุกท่านมาทำความรู้จักกับการทำงานแบบ Remote Work ที่ช่วยให้การทำงานนอกออฟฟิศมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น !


Remote Work คืออะไร ?

การทำงานในรูปแบบ Remote Work หรือ Remote Working เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรับและส่งงานตามกำหนด ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในต่างประเทศนั้น หลาย ๆ บริษัทเริ่มผันตัวให้พนักงานทำงานในรูปแบบนี้กันมากขึ้น เพราะเป็นเหมือนรูปแบบการทำงานที่ทำให้คุณสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ที่มีอินเตอร์เน็ตรองรับ โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ หรือไม่จำเป็นที่ต้องไปทำงานที่บริษัททุกวัน เพื่อทำงานจากโต๊ะประจำตำแหน่งอย่างเดียวเท่านั้น เพราะคุณสามารถใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เข้ามารองรับการทำงาน และสามารถ Monitor การทำงานพร้อมให้ Feedback ได้ในทันที

อีกทั้งยังเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับพนักงานที่บ้านไกลจากบริษัท ได้ทำโปรเจกต์ที่ถือไว้ได้อย่างบรรลุเป้าหมายจากทุกที่ที่ต้องการ

นอกจากเพิ่มความยืดหยุ่นของการทำงานในแต่ละวันได้ด้วยตนเองแล้ว ยังส่งผลให้ชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัวของพนักงานลงตัวในแบบที่ต้องการ เพราะคุณสามารถเลือกทำงานได้ตามช่วงเวลาที่สะดวก มีอิสระในการทำงานที่มากกว่าเก่า ตอบโจทย์สำหรับคนที่หัวแล่นในช่วงเลิกงานตามเวลาปกติหรือช่วงกลางดึก ซึ่งทำให้การทำงานอาจใช้เวลาทำน้อยลง และมีประสิทธิภาพมากกว่าทำงานแบบปกติ ส่งผลให้อาจมีการส่งงานได้เร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิมอีกด้วย

อีกทั้งคุณยังสามารถเลือกทำงานในบรรยากาศที่ตนเองต้องการได้ บางคนชอบบรรยากาศที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนขณะทำงานหรือบางคนชอบเปิดเพลงเสียงดัง ๆ ขณะทำงาน แต่ทำไม่ได้เพราะเกรงใจเพื่อนร่วมงานที่นั่งติดกันจึงต้องใส่หูฟัง และนั่นอาจทำให้มีปัญหาในการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนร่วมกับผู้อื่น จนทำให้เกิดปัญหาในการทำงานขึ้นได้นั่นเอง ซึ่งการทำงานแบบ Remote Working จึงทำให้คุณหมดปัญหากับประเด็นบรรยากาศในที่ทำงานเป็นพิษ ทำให้คิดงานไม่ออกได้ในทันที 

นอกจากช่วยให้คุณทำงานได้ถนัดมากขึ้นแล้ว การทำงานในรูปแบบนี้ยังช่วยพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน อีกทั้งยังดึงเอาศักยภาพของคุณออกมาได้อย่างเต็มที่ และช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานของคุณให้ดีมากขึ้นได้อีกด้วย เรียกได้ว่างานที่ออกมานั้นล้วนต้องมากไปด้วยคุณภาพอย่างแน่นอน

ดังนั้นคุณควรบริหารจัดสรรเวลาในการทำงานให้ดี ควรมีระเบียบวินัยและตรงต่อเวลาเสมอ รวมถึงจัดตารางเวลาของการทำงานให้เหมือนการทำงานปกติที่มีเวลาพัก คือ พัก ไม่ปล่อยให้ตัวเองทำงานเพลินจนลากยาว และเวลาทำงาน คือ ทำงาน ดำเนินการให้ได้ผลสำเร็จที่ลุล่วง เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดต่อการทำงานหรือส่งผลเสียต่อสุขภาพ และคุณภาพของผลงานนั่นเอง


แล้วจะเลือกทำงานแบบ Remote Work ได้อย่างไร ?

มีหลายวิธีที่สามารถทำงานแบบ Remote working โดยต้องเลือกทำงานในแบบที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งเกิดจากการตกลงร่วมกันในทีมอย่างลงตัว เช่น บางคนเลือกทำงานแบบ Remote Working เป็นส่วนใหญ่ตลอดสัปดาห์ของการทำงาน แต่ต้องเดินทางไปประชุมด้วยตัวเองที่สำนักงานใหญ่ในหนึ่งวันต่อสัปดาห์ และพนักงานบางคนเลือกทำงานแบบ Remote Working ทุกวันซึ่งอาจเลือกทำงานจากที่บ้านของตนเองหรือร้านกาแฟที่มีอินเทอร์เน็ตรองรับได้เช่นเดียวกัน เพราะสิ่งสำคัญของการทำงานแบบ Remote Working ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่เท่านั้น

เนื่องจากมีหลายคนที่บ้านอาจไม่ใช่สถานที่อำนวยความสะดวกต่อการทำงาน แต่ไม่อยากเข้าบริษัทก็สามารถพึ่งพาพื้นที่ Coworking Space ที่เป็นจุดศูนย์รวมของทุกคนที่สามารถทำงานให้เสร็จได้เช่นเดียวกัน

Coworking Space เรียกได้ว่าทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของแหล่งสร้างชุมชน ที่อำนวยความสะดวกในเรื่องของเทคโนโลยี รวมถึงเป็นแหล่งเครือข่ายที่ยอดเยี่ยม และยังเพิ่มโอกาสในการพบปะกับผู้อื่นที่ทำงานในหลากหลายสายงานได้อีกด้วย 

นอกจากการทำงานที่ได้รับให้สำเร็จตามเป้าหมายแล้ว คุณยังสามารถได้ประโยชน์จากกลุ่มผู้คนใหม่ ๆ ในสังคมใหม่ที่ใช้พื้นที่ทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำจากบริษัทอื่น ฟรีแลนซ์รับงานอิสระ ผู้ประกอบการที่ต้องการเช่าพื้นที่บริษัทสำหรับตัวเอง หรือแม้กระทั่งเจ้าของกิจการขนาดเล็กที่อาจจะกลายมาเป็นลูกค้ารายใหม่ของคุณ 

สามารถพูดได้เลยว่า Coworking Space เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างบริษัทแบบดั้งเดิมกับพื้นที่ทำงานในรูปแบบใหม่ ที่ช่วยให้คุณรู้สึกสะดวกสบายในการทำงานเหมือนอยู่ที่บ้าน และรวมเข้ากับสิ่งอำนวยความสะดวกระดับมืออาชีพ ราวกับยกมาจากบริษัท พร้อมโอกาสในการเพิ่มเครือข่ายใหม่ ๆ ที่คุณพบในสภาพแวดล้อมแบบองค์กร ซึ่งการทำงานแบบ Remote Working สามารถเลือกใช้ประโยชน์จากพื่นที่ Coworking Space ที่ใกล้ที่ทำงานหรือใกล้บ้านคุณก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีมากเลยทีเดียว


ทำไมต้องทำงานแบบ Remote Work ?

เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่าการทำงานแบบ Remote Working คืออะไร และผู้คนทั่วไปสามารถทำงานแบบ Remote Working ได้ในทุกวันอย่างไร แต่คุณอาจสงสัยว่า เพราะอะไร ทำไมบางคนถึงเลือกทำงานนอกบริษัท และทำไมเจ้านายของพวกเขาถึงอนุมัติให้พวกเขาทำงานนอกสถานที่ได้ 

คำตอบของคำถามนี้คือ เพราะการทำงานแบบ Remote Working มีประโยชน์มากมายทั้งสำหรับตัวพนักงานและเจ้านาย ตั้งแต่การเพิ่มผลงานที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการทำงานที่เต็มไปด้วยความสุข และสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคออฟฟิศซินโดรม โดยทางเราจะมาแบ่งข้อดีของพนักงานและเจ้านายดังหัวข้อต่อไปนี้


การทำงานแบบ Remote Work มีประโยชน์ต่อพนักงานอย่างไร ?

1. หมดความกังวลกับการทำงานแบบเคร่งเครียด และได้ทำอย่างอื่นได้มากยิ่งขึ้น

เหตุผลที่ชัดเจนที่สุด สำหรับผู้คนที่ต้องการทำงานแบบ Remote Working คือ สามารถทำให้พนักงานมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เมื่อไม่จำเป็นต้องอยู่ในบริษัทในช่วงเวลาที่กำหนด พนักงานแบบ Remote Working สามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญสำหรับตนเองจากนอกบริษัทได้ในทันที เช่น หากพนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working เป็นพ่อแม่ที่กำลังมีลูกเล็ก ก็สามารถเริ่มทำงานให้เร็วขึ้น เพื่อรีบทำงานให้เสร็จก่อนกำหนด และสามารถไปดูแลลูกน้อยของตนเองได้อย่างทันทีหรือในสถานการณ์อื่น อาจเป็นพนักงานแบบ Remote Working ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในสาขาวิชาของตนเอง และไม่ต้องการอยู่ภายใต้ตารางงานที่เข้มงวดในสถานที่ทำงาน จึงทำให้สามารถศึกษาระดับปริญญาโท หรือหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องในระหว่างวัน และเพิ่มการทำงานของตนเองในตอนเย็นหรือช่วงเวลาเลิกเรียนได้ เป็นต้น

2. สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

พนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working มีความเครียดน้อยลง และมีกำลังใจสูงขึ้นกว่าพนักงานในบริษัท โดยในรายงานที่ตีพิมพ์โดย Royal Society for Public Health ในสหราชอาณาจักรที่ประกอบไปด้วย 4 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ พบว่า 55% ของผู้เข้าร่วม รู้สึกเครียดมากขึ้นเนื่องจากการเดินทางไปทำงาน แต่เมื่อพนักงานได้ทำงานแบบ Remote Working ในสภาพแวดล้อมที่รู้สึกสบายใจ ส่งผลให้เความเครียดที่มีต่องานน้อยลงอย่าเห็นได้ชัด และจากการศึกษาของ PGi ในปี 2014 พบว่า 69% ของคนที่ทำงานแบบ Remote Working มีรายงานการขาดงานที่น้อยกว่าพนักงานที่มาทำงานที่บริษัทแบบปกติ 

นอกจากนี้ พนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องออกไปทำงานที่บริษัท เนื่องจากทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมและมุ่งเน้นในบทบาทหน้าที่ของตนเองได้อย่างเต็มที่ แทนที่จะเสียเวลาไปกับความเครียดหรือความกดดันภายในองค์กร จึงส่งผลให้พนักงานที่มีความสุขและสุขภาพที่ดีจะมีการทำงานที่ดีขึ้น รวมถึงรู้สึกผูกพันกับบริษัทมากขึ้นไปด้วย โดยจากมุมมองนี้จะเห็นได้ว่าการทำงานแบบ Remote Working เป็นรูปแบบการทำงานที่ดีอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

3. ความรักในการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น

พนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working สามารถทำงานให้ดีที่สุดได้ เมื่ออยู่นอกบริษัท เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากสภาพแวดล้อมที่ดีมากกว่าเดิม และสามารถคัดกรองสิ่งรบกวนในการทำงานตามที่เห็นสมควรได้เป็นอย่างดี 

การทำงานแบบ Remote Working เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานรูปแบบหนึ่ง เปรียบเสมือนเป็นรางวัลสำหรับการทำงานที่ยอดเยี่ยมสำหรับพนักงาน และเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นศักยภาพของการทำงาน เพื่อให้ได้ก้าวข้ามเป้าหมายเดิม ๆ ของตนเองและได้ดำเนินชีวิตตามแบบที่พวกเขารักได้นั่นเอง


การทำงานแบบ Remote Work มีประโยชน์ต่อเจ้านายอย่างไร ?

1. ได้รับผลผลิตที่สูงขึ้นกว่าเก่า

หนึ่งในข้อโต้แย้งที่มีความขัดแย้งมากที่สุดสำหรับการทำงานแบบ Remote Working คือ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น มาจากความยืดหยุ่นในการทำงานของพนักงาน ซึ่งพนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working มีแนวโน้มที่จะใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ในการทำงานของตนเองกว่าการทำงานในบริษัทแบบปกติ จึงทำให้ผลงานออกมาดีกว่า การทำงานให้เสร็จเฉย ๆ 

เมื่อเทียบกับพนักงานที่ทำงานในบริษัท ตามรายงานจากการสำรวจของ Surepayroll พบว่า 65% พบว่าการทำงานแบบ Remote Working ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและมีผลงานที่มีคุณภาพได้มากกว่าการทำงานแบบเต็มเวลา 

2. ประหยัดต้นทุนได้มากกว่าเดิม

พนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working เป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมต่อผลกำไรของบริษัท ด้วยการช่วยลดรายจ่ายภายในบริษัท เช่น ค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน และค่าเฟอร์นิเจอร์ในสำนักงาน เป็นต้น โดยผลสำรวจจาก Flexjobs รายงานว่า ผู้ว่าจ้างสามารถประหยัดเงินได้ถึง $ 22,000 ต่อคน สำหรับการทำงานแบบ Remote Work เพียงส่วนหนึ่งขององค์กรในรายปี  

3. พนักงานมีส่วนร่วมกับงานที่ได้รับมากยิ่งขึ้น

นอกเหนือจากผลกำไรและคุณภาพงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว การที่เจ้านายเสนอโอกาสในการทำงานแบบ Remote Working เพื่อให้พนักงานมีความสุขและมีส่วนร่วมกับงานที่มากยิ่งขึ้นแล้ว ในการทำงานแบบ Remote Working ไม่เพียงแต่จะเป็นการทำงานที่ดี ยังมีความต่อเนื่องกันอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลโดยตรงที่ทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานชิ้นนั้นได้อย่างเต็มที่ 

พนักงานเกือบ 75% ที่ได้รับการสำรวจจาก Softchoice รายงานว่า พวกเขาจะลาออกจากงานทันที ถ้ามีที่ทำงานไหนเสนอให้มีการทำงานแบบ Remote Working นั่นคือสิ่งที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถได้คัดเลือกพนักงานที่ตั้งใจมาทำงานให้ตนเองและองค์กรได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพได้มากกว่าเดิม โดยไม่มีอุปสรรค์ในเรื่องของการเดินทางมาขัดขวางอีกต่อไป 

และอีกหนึ่งผลลัพธ์จากการสำรวจโดย TINYpulse รายงานว่า พนักงานที่ได้รับการอนุมัติให้ได้ทำงานแบบ Remote Working สามารถทำให้พวกเขามีความสุขและรู้สึกถึงคุณค่าในหน้าที่ของตนเองต่อที่ทำงาน ได้มากกว่าการเป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ที่สำนักงานอีกด้วย


ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำงานแบบ Remote Work ?

ในขณะที่การทำงานแบบ Remote Working กำลังเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ยังมีเรื่องเข้าใจผิด เกี่ยวกับรูปแบบการทำงานแบบ Remote Working นี้อยู่ OpenLandscape ได้สรุปรวมมาเป็นหัวข้อ เพื่ออธิบายให้คุณได้ทำความเข้าใจการทำงานในรูปแบบนี้ให้มากยิ่งขึ้นแล้ว ดังนี้ 

มักมีปัญหาในการสื่อสารจริงหรือไม่ ?

การทำงานแบบ Remote Working แม้จะไม่ได้มีการพูดคุยกันต่อหน้า เพราะอยู่ต่างสถานที่กัน แต่ปัญหาด้านการสื่อสารที่หลายคนกังวลนั้นแทบจะไม่มีมาให้กระทบกับเรื่องงานเลย เพราะการติดต่อสื่อสารกับคนในที่ทำงานแบบ Remote Working นั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทุกคนสามารถพูดคุยหรือประสานงานกับคนในทีม ผ่านช่องทางการติดต่อได้หลากหลายช่องทางที่สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้การทำงานและการประสานงานนั่น สำเร็จได้ด้วยดีไม่ต่างจากการทำงานที่สำนักงานเลย

การสนทนาผ่านทาง Video Calls เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดการประชุมสำหรับพนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working เพราะสามารถพูดคุยได้เหมือนอยู่ต่อหน้ากัน อีกทั้งพนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working มักมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้เริ่มต้นพูดคุยด้วยตนเองอย่างกระตือรือร้นกับคนในทีม ในเรื่องของการสื่อสารเกี่ยวกับสถานะของโปรเจกต์ รวมถึงอุปสรรคต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญอยู่อีกด้วย

ต้องพร้อมทำงานตลอดเวลาจริงหรือไม่ ?

นี่เป็นอีกหนึ่งในความกลัวและความเข้าใจผิดของพนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working รวมถึงเจ้านายด้วย เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการทำงานแบบ Remote Working เพราะเป็นการทำงานที่ให้อิสระแก่พนักงาน ในการจัดทำตารางเวลาของตนเองให้มีเวลาส่วนตัวที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่เพราะช่วยให้ตารางการทำงานของพนักงานเพิ่มมากขึ้นเป็นตลอด 24 ชั่วโมงใน 1 วัน 

อีกทั้งเจ้านายอาจไม่ต้องการให้พนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working ต้องทำงานแบบไม่มีหยุดพัก เพราะกลัวว่าพนักงานจะเหนื่อยล้าจากการทำงาน และหมดความตั้งใจในการทำงาน  สิ่งนี้จึงถือเป็นเรื่องสำคัญในการเริ่มต้นข้อตกลงในการทำงานแบบ Remote Working ร่วมกันในองค์กร

ในการทำงานแบบ Remote Working พนักงานควรแจ้งชั่วโมงที่พร้อมทำงานและเวลาพักของวันให้ทุกคนทราบ เพื่อสะดวกในการติดต่อสื่อสารและความยืดหยุ่นของการทำงาน นอกเหนือจากการวางมาตรฐานสำหรับเวลาในการทำงานแบบ Remote Working แล้ว อย่าลืมกำหนดช่องทางการติดต่อสื่อสารกับสมาชิกในทีมที่ชัดเจนด้วย

จะรู้ได้อย่างไรว่าทำงานจริง ?

แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และถูกเข้าใจผิดมากที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน ภาพลักษณ์ของคนที่ทำงานแบบ Remote Working คือ พวกเขามักจะนั่งหรือนอนอยู่บนเตียงทั้งวันในชุดนอน อาจทำงานเพียงครั้งเดียวหรือเพียงชั่วครู่เท่านั้น และไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับผู้ที่เดินทางไปทำงานที่สำนักงานในทุก ๆ วัน  

เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่จริง เพราะคนที่ทำงานแบบ Remote Working มีหลากหลายสไตล์ มีทั้งคนที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เพื่ออาบน้ำและเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์โปรเจกต์ที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จตามกำหนดที่ได้วางเอาไว้ รวมถึงผู้ที่เตรียมพร้อมตารางงานรายวัน เหมือนกับคนที่ต้องไปทำงานในออฟฟิศ 

หากคุณกังวลว่าจะเช็คได้อย่างไรว่าทำงานกันจริงหรือไม่ เพียงแค่คุณดูที่ผลงานที่ได้รับก็เป็นคำตอบสำหรับคำถามข้อนี้ได้ดีที่สุดแล้ว และหากยังไม่แน่ใจ สามารถตรวจสอบดูรายงานการทำงานประจำวันได้ด้วยเช่นเดียวกัน


‍สรุปแล้วพนักงานแบบ Remote Work คืออะไร ?

พนักงานแบบ Remote Work หรือ Remote Working คือ คนที่ทำงานในนามของบริษัท แต่ทำงานนอกออฟฟิศ อาจหมายถึงการทำงานจาก Coworking Space, บ้าน, ร้านกาแฟ และในพื้นที่อื่น ๆ ที่รองรับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วโลก

นี่เป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอน และไม่ใช่สิ่งที่ทำไปโดยไม่ต้องคิดอะไรสักอย่าง เพราะ พนักงานแบบ Remote Working จะต้องพิจารณาบทบาทหน้าที่ วางแผน และรับมือกับปัญหาที่ต้องเผชิญ เพื่อแสดงความเป็นมืออาชีพจากสไตล์การทำงานของตนเอง ให้ผลงานสำเร็จตามกำหนดที่ได้รับมอบหมาย

สำหรับใครที่อยากเสนอการทำงานแบบนี้กับองค์กร คุณต้องสร้างกรณีศึกษาทางธุรกิจที่มีการวิจัยเป็นอย่างดี ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงกับบทบาทและหน้าที่ของคุณในองค์กร โดยใช้พลังแห่งการโน้มน้าวใจ เพื่อให้หัวหน้าของคุณอนุมัติการทำงานแบบ Remote Working รวมถึงข้อตกลงร่วมกันว่าคุณต้องการทำงานเป็นสัปดาห์ละครั้งหรือทั้งปี รวมถึงการรายงานผลการทำงานอย่างละเอียดในประจำวัน และการทำงานร่วมกับทีมของคุณได้เป็นอย่างดี ไร้อุปสรรคทางการสื่อสารนั่นเอง

ในขณะที่เทคโนโลยียังคงก้าวหน้า การทำงานแบบ Remote Working จึงเป็นเรื่องธรรมดาในหลายแวดวงการ ตั้งแต่งานที่คุณคาดหวัง อาจเป็นงานทางด้านเทคโนโลยี งานอิสระ และงานด้านอื่น ๆ ซึ่งการทำงานแบบ Remote Working สามารถพบได้ในเกือบทุกธุรกิจ

หากคุณกำลังมองหาบริษัทที่รับการงานแบบ Remote Working เริ่มต้นค้นหาได้เลย รวมถึงอาจลองเสนอรูปแบบการทำงานนี้กับบริษัทที่คุณทำอยู่ เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าโอกาสนั้นจะมาเมื่อไหร่ ถ้าไม่ได้ลองดูก่อน ซึ่งการทำงานที่มีอิสระในการใช้ชีวิตตามความต้องการของคุณกำลังรอคุณอยู่ !


ข้อมูลอ้างอิงจาก 

What is Remote Work?

Benefits Of Telecommuting For The Future Of Work

ทำความรู้จัก Remote Working ดีต่อใจแต่ไม่ไกลผลลัพธ์เดิม

จบการศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

You may use these HTML tags and attributes: <a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <s> <strike> <strong>
*
*